วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

SET 6 ชุด มนุษย์สังเคราะห์

มนุษย์สังเคราะห์ในที่นี้ คือ มนุษย์เทียมที่มีร่างกายถูกสังเคราะห์ขึ้นจากวัสดุต่างๆ ซึ่งส่วนมากที่ปรากฏตามท้องเรื่อง มักเป็นวัสดุเหลือใช้ใกล้อาศรมของเหล่ามหาฤๅษีทั้งหลาย และมักมีจุดประสงค์ในการสร้างแตกต่างกันไป ทางเราจึงได้รวบรวมบุคคลที่เป็นมนุษย์สังเคราะห์จากนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีไทยต่างๆ(อย่างคร่าวๆ)ไว้ ดังนี้
๑.พระลพ(ปัจจุบันเขียนว่า พระลบ)-คำว่า“พระลพ”ในที่นี้ ไม่ใช่ชื่อของบุคคล แต่เป็นคำสรรพนามสำหรับใช้เรียกมนุษย์เทียมที่ถูกสังเคราะห์ร่างกายขึ้นจากวัสดุต่างๆ เพราะคำว่า ลพ(ลว) แปลว่า การตัด, การเกี่ยว, ส่วนที่ตัดออก, ท่อน, ชิ้น, หยาดน้ำ พระลพจึงหมายถึงมนุษย์อันเกิดจากการสังเคราะห์ชิ้นส่วนต่างๆ
มนุษย์เทียมที่ได้รับชื่อรหัสว่า “พระลพ” มีร่างกายที่สังเคราะห์ขึ้นจาก“หนังสัตว์” และมักเป็นหนังของสัตว์ใหญ่ที่มีบารมีน่าเกรงขาม ดูดีมีชาติตระกูล เช่น หนังราชสีห์ เป็นหลัก
พระลพที่รู้จักกันดี คือ พระลพ ลูกชายคนเล็กของนางสีดา จากวรรณคดีเรื่อง“รามเกียรติ์” ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคของท่านฤๅษีวัชรมฤค(ฤๅษีกวางสายฟ้า) เมื่อครั้งที่พระรามสั่งพระลักษณ์ให้นำนางสีดาไปประหารเนื่องจากแอบวาดภาพของทศกัณฐ์ให้นางรับใช้ดู พระลักษณ์สงสารเลยปล่อยตัวไป นางสีดาจึงไปอาศัยอยู่กับฤๅษีวัชรมฤคและได้คลอดโอรส ๑ องค์ จึงตั้งนามว่า พระมงกุฏ
วันหนึ่งนางสีดาไปทรงน้ำที่ลำธารปล่อยพระมงกุฎอยู่กับพระฤๅษี ขณะนั่นฤๅษีทำสมาธิอยู่ นางกำลังทรงน้ำเห็นชะนีอุ้มลูกน้อยจึงคิดถึงลูกกลับไปนำพระมงกุฎมาสรงน้ำ ฤๅษีออกจากสมาธิไม่เห็นพระมงกุฎกลัวนางจะเสียใจ(คิดว่าตัวเองทำลูกนางสีดาหาย)จึงทำพิธีเนรมิตกุมารขึ้น โดยการวาดภาพพระมงกุฏ(ซึ่งนอกจากภาพเหมือนของพระมงกุฏแล้ว ควรต้องมีรายละเอียดข้อมูลส่วนบุคคลและลักษณะทางกายภาพของพระมงกุฏ เช่น วันเดือนปีเกิด และฤกษ์ยามต่างๆซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่หาได้จากการคำนวณในหลักโหราศาสตร์)ลงบนแผ่นหนังราชสีห์ แล้วโยนใส่ในกองไฟที่ก่อไว้ เพื่อสังเคราะห์ขึ้นมาเป็นกุมารโคลนนิ่งอีกคน(ซึ่งต้องมีการเรียกดึงดวงจิต[เร่ร่อน?]เข้ามาประกอบร่วมในพิธีด้วย เพื่อให้ร่างเทียมของกุมารที่สังเคราะห์ขึ้นมีชีวิตจริงๆ)
ทว่านางสีดากลับมาก่อน พระฤๅษีจึงคิดจะเลิกทำพิธีแต่นางสีดาขอร้องให้ทำพิธีต่อเพื่อจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระมงกุฎ
พระฤๅษีวัชรมฤคจึงทำพิธีต่อจนเสร็จ เกิดเป็นกุมารซึ่งมีลักษณะทางกายภาพเหมือนกับพระมงกุฎทุกประการขึ้น จึงให้ชื่อว่า พระลพ
เนื่องจาก พระลพ เกิดจากการโคลนนิ่งโดยการทำสำเนา(Coppy)ลักษณะทางกายภาพของคนเป็นเป็นจากการคำนวณในหลักโหราศาสตร์มาสังเคราะห์ขึ้นใหม่ บุคคลที่เกิดขึ้นจากวิธีการนี้จึงเข้าข่ายการเกิดแบบโคลนนิ่ง
ดังนั้น ทางเราจึงขอเรียกวิชานี้ว่า ลพชีพ หมายถึง ชีวิตที่เกิดจากการสังเคราะห์ชิ้นส่วน

๒.นางโมรา-อิสตรีผู้นำความวายชนม์มาสู่เจ้าชายจันทโครพ หากแต่ว่า จะโทษให้นางเป็นต้นเหตุให้เจ้าชายจันทโครพต้องตาย(ก่อนถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ในภายหลัง)ก็คงไม่ถูกต้องเสียทีเดียวนัก เพราะเดิมทีนั้น นางโมรา เป็นมนุษย์เทียมที่ถูกพระฤๅษีสังเคราะห์ร่างกายขึ้นจากเส้นขนหางนกยูงเพศผู้ จึงได้ชื่อคือ “โมรา” ซึ่งแปลว่า นกยูง
ประเด็นสำคัญที่ควรถูกนำมาวิเคราะห์ใหม่ คือ อุปนิสัยของนางโมรา ที่ทำไมจึงโลเลไม่แน่นอน ขาดความยับยั้งชั่งใจผิดมนุษย์นัก ครั้นจะโทษพระฤๅษีผู้ที่สร้างนางขึ้นมาก็คงมิถูกควร เพราะพระฤๅษีผู้สร้างเองก็น่าจะออกแบบสังเคราะห์นางขึ้นมาอย่างเพรียบพร้อมสมบูรณ์แล้วเพื่อมอบให้จันทโครพผู้เป็นศิษย์รักของท่านเอง โดยพิจารณาจากท้องเรื่องช่วงที่ว่า
นารีใดในทวีปวงศ์มนุษย์ก็แสนสุดที่จะสมเสน่หาเห็นคู่ชมจะไม่สมกุมาราจำจะให้กัลยาไปครองกันดำริพลางทางนิมิตผอบแก้วอันพรายแพรวพริ้งเพริศดูเฉิดฉันขนโมราเสกใส่ลงในนั้นพระทรงธรรม์ป้องปิดผนิดดีแล้วโอมอ่านคาถาจินดาเวทขนโมเรศกลายเป็นนารีศรีทรงโฉมประโลมลักษณ์ภัคินีกุมารีอยู่ในผอบทองแล้วเขียนชื่อนางใส่ลงในฝาชื่อโมราโฉมศรีไม่มีสองจึ่งแย้มโอษฐ์โปรดยื่นผอบทองนี่แน่ของตาให้เอาไปเมือง
ในเมื่อ พระฤๅษีท่านรักศิษย์อย่างจันทโครพจนถึงขั้นที่เห็นว่า หญิงใดๆแดนมนุษย์ไม่ว่าจะสูงศักดิ์ดูดีมีชาติตระกูลสักปานใด ก็ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ครองของจันทโครพทั้งนั้น(ตั้งเกรดไว้สูงมาก!) ท่านจึงคิดสร้างหญิงงามนางหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เป็นคู่ครองของจันทโครพเสียเองเลย ด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้
๑.เนรมิตสังเคราะห์สร้างผอบทองคำอันวิเศษและมีค่ามากหลังงามงามขึ้นมาใบหนึ่ง
(คำว่า “แก้ว” ที่ปรากฏในกลอนตอนนี้ มีที่มาจากคำว่า “รัตนะ” ซึ่งหมายถึง สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตใดๆก็ตามที่มีคุณวิเศษ มีค่ามาก เป็นสิ่งประเสริฐ ดังนั้น ผอบหลังนี้จึงหมายถึง“ผอบทองคำ”นั่นเอง)
๒.เนรมิตเรียก(Teleport-เคลื่อนย้ายสสาร)ขนหางของนกยูงมาใส่ไว้ภายในผอบนั้น
๓.ปิดผนึกผอบทอง
๔.บริกรรมพระเวทใช้อำนาจจิตสังเคราะห์ธาตุเปลี่ยนขนหางนกยูงในผอบให้กลายเป็นหญิงงาม
๕.จารึกชื่อ “โมรา” ไว้ในเนื้อฝาด้านบนของผอบทอง
ครั้นเสร็จสรรพครบถ้วนทุกขั้นตอน จึงได้มอบผอบทองอันเป็นแคปซูลเวลาให้กับจันทโครพ เป็นของที่ระทึกเพื่อนำกลับไปเมืองเกิด ก็ในเมื่อเรื่องราวก็ดูดีซะขนาดนี้ แล้วอะไรคือต้นเหตุข้อบกพร่องของนางโมรา?
เพื่ออคลายข้อสงสัยนี้ จึงต้องกลับไปพิจารณากลอนตอนท้ายบท ซึ่งเป็นคำเตือนข้อควรระวังของพระฤๅษีที่ระบุว่า
แม้นเดินทางกลางป่าเจ้าอย่าเปิดเอาไปเถิดให้ระบือเขาลือเลื่องถึงชนกชนนีบูรีเรืองได้ครองเมืองเป็นมหาวราชัย ฯ
จากประโยคชุดนี้ แสดงว่า พระฤๅษีนั้นระบุย้ำเตือนชัดเจนว่า ผอบทองหลังนี้ จะเปิดได้ก็ต่อเมื่อกลับถึงเมืองเกิดของจันทโครพแล้วเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น แต่ทว่า หลังออกเดินทางมาได้เพียง ๑๕ วันโดยประมาณ วิบากกรรมเก่าก็กระตุ้นเตือนให้จันทโครพทนเก็บความสงสัยไว้ต่อไปไม่ได้ จึงละเมิดคำเตือนของพระอาจารย์ เปิดผอบออกทันใดจนนำเหตุเพทภัยมาสู่ตัวในเวลาต่อมา ตามท้องเรื่อง
ทว่า สิ่งที่ทำให้เราสงสัย กลับเป็นประเด็นเรื่องของ“ระยะเวลา”ที่พระฤๅษีกำชับจันทโครพหนักหนาว่า ต้องเปิดผอบทองเมื่อกลับถึงเมืองเท่านั้น อะไร คือสิ่งที่ทำให้พระฤๅษีต้องกำหนดระยะเวลาเปิดผอบอย่างตายตัวลงไปเช่นนั้น
หลังจากวิเคราะห์หาเหตุที่มาทั้งหมด ทางเราจึงสามารถตั้งสมมุติฐานอนุมานได้ว่า
จากความที่พระฤๅษีต้องการสร้างหญิงงามที่เลิศล้ำกว่าหญิงชาวมนุษย์นางใดในใต้หล้า ความสมบูรณ์แบบจึงเป็นสิ่งที่พระฤๅษีพยายามสรรหามาบรรจุไว้ในตัวนางโมรา ดังนั้น นอกจากรูปโฉมภายนอกอันงดงามแล้ว นางโมรายังต้องมีความเพรียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม สามัญสำนึก ฯลฯ เพื่อให้นางเป็นยอดของยอดมหากุลสตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุดและเหมาะสมกับจันทโครพอย่างไร้ข้อกังหา แต่ทว่า ข้อมูลทั้งด้านคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม และสามัญสำนึก ฯลฯ เป็นไฟล์ที่มีขนาดมโหฬารมาก จนไม่สามารถบรรจุข้อมูลทั้งหมดลงไปในจิตใต้สำนึกของนางโมราได้ในคราวเดียว พระฤๅษีจึงได้อัพลิงค์ชุดไฟล์ข้อมูลลงในผอบทองด้วย เพื่อให้นางโมราซึ่งอยู่ภายในผอบสามารถอัพโหลดข้อมูลได้โดยสะดวก
และเนื่องจากการโหลดไฟล์ข้อมูลจำนวนมหาศาลภายในผอบทองนี้ ต้องใช้เวลานานพอสมควร พระฤๅษีจึงได้กำชับเจ้าชายจันทโครพอย่างชัดเจนว่า ห้ามเปิดผอบทองจนกว่าจะกลับถึงเมืองเกิดอย่างเด็ดขาด เพื่อให้นางโมรามีเวลาอัพโหลดชุดข้อมูลในผอบได้สมบูรณ์๑๐๐%เต็ม ซึ่งกำหนดการณ์ระยะเวลาเดิมที่นางโมราจะสามารถอัพโหลดไฟล์ข้อมูลได้อย่างสมบูรณ์นั้น คือ ระยะเวลาตามเส้นทางที่จันทโครพใช้เดินทางจนกลับถึงเมืองพอดี(ซึ่งตามท้องเรื่องเหมือนจะไม่ได้กล่าวว่าใช้เวลาเดินทางนานขนาดไหน) แต่ผลกรรมก็บันดาลให้จันทโครพละเมิดคำเตือนแต่เก่าก่อนของพระอาจารย์จึงได้เปิดผอบก่อนเวลาหลังเดินทางจากอาศรมของพระฤๅษีมาได้เพียง ๑๕ วัน
ซึ่งการเปิดผอบก่อนเวลานี้ ทำให้นางโมราไม่สามารถโหลดชุดไฟล์ข้อมูลด้านคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม สามัญสำนึก ฯลฯ จากในผอบทองที่พระฤๅษีท่านอัพลิงค์ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จึงเป็นผลให้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม สามัญสำนึก ฯลฯ ของนางโมราเกิดความบกพร่องไปโดยปริยาย(เพราะเมื่อผอบซึ่งถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิดถูกเปิดออกในครั้งแรก ไฟล์ข้อมูลที่ยังไม่ถูกอัพโหลดจะถูกตัดวงจรและลบตัวเองทันทีที่ฝาผอบถูกเปิด)
นางโมราจึงไม่เพียงเป็นตัวอันตรายต่อบุรุษ แต่ยังเป็นตัวอันตรายต่อมนุษย์ทั่วไปทุกเพศและวัยที่นางได้พบเจอด้วย เพราะความบกพร่องจากจิตใต้สำนึกของนางเป็นเหตุ ดังนั้น ท้ายที่สุด เมื่อพระอินทร์ได้ทดสอบประเมิณสภาพจิตใจและความเป็นมนุษย์ของนางดูโดยการจำแลงเป็นนกเหยี่ยวบินนำชิ้นเนื้อย่างมากินให้นางเห็น ก็พบว่า นางโมรานั้นขาดทักษะความสามารถในการดำรงชีพเยี่ยงมนุษย์ปกติ มีแต่เพียงทักษะด้านการใช้เสน่ห์และวาจาสำหรับเกี้ยวพาเท่านั้น ซึ่งหากนางเข้าถึงเมืองใดของมนุษย์ได้ อาจเกิดความโกลาหลใหญ่หลวงตามมาอีกนับไม่ถ้วน พระอินทร์จึงตัดสินใจดัดแปลงนางให้กลายเป็น “ชะนี” เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาหากนางยังมีร่างเป็นมนุษย์อยู่

๓.นางกาลอัจนา-ภรรยาของพระฤๅษีโคดม หรือ ท้าวโคดม อดีตผู้ปกครองนครสาเกต ซึ่งอยู่ในเขตเดียวกับเมืองอโยธยา จากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์
เมื่อครั้งยังเป็นกษัตริย์ครองเมืองสาเกต ท้าวโคดมไม่มีโอรสธิดา และเกิดความเบื่อหน่ายในราชสมบัติ จึงออกผนวชเป็นดาบสบำเพ็ญพรตสองพันปีจนหนวดเครารกรุงรัง กระทั่งมีนกกระจาบผัวเมียสามารถมาทำรังและออกไข่อยู่ในหนวดเคราของพระฤาษีโคดมได้
ครั้งหนึ่ง นกกระจาบตัวผู้ออกไปหากินชะมดอกบัวจนมืดค่ำ กลีบดอกบัวหุบลงมากักตัวไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นดอกบัวคลี่บาน จึงบินกลับรัง เล่าเรื่องราวให้นางนกฟัง แต่นางนกไม่ยอมเชื่อ หาว่าไปติดนกสาวตัวอื่น ฝ่ายนกตัวผู้จึงสาบานตนว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอรับเอาบาปของดาบสไว้แก่ตนเอง
พระฤๅษีจึงถามว่าตนมีบาปข้อใดจึงจะรับเอาไป นกกระจาบตัวผู้ตอบว่า มีบาปที่ไม่มีโอรสและธิดา หนีออกจากเมืองมา จึงไม่มีผู้สืบราชสมบัตินับเป็นบาปอย่างยิ่ง พระมหาดาบสตรึกตรองก็เห็นพ้องกับนก จึงโกนหนวดเครา แล้วทำพิธีกองกูณฑ์บูชาไฟ หลับตาบริกรรมคาถา บังเกิดนางขึ้นกลางไฟ งดงามยิ่งนัก ให้ชื่อว่า “นางกาลอัจนา” อยู่ด้วยกันต่อมาจนได้ธิดาชื่อว่า “สวาหะ”
อันว่า นางกาลอัจนา นี้มีวิธีสังเคราะห์สร้างร่างกายที่ค่อนข้างเรียบง่ายมาก โดยพิจารณาตามท้องเรื่อง ดังนี้
จึ่งตั้งกองกูณฑ์บูชาไฟโดยไสยเวทเรืองศรีหลับเนตรสำรวมอินทรีย์พระมุนีก็บริกรรมไป ฯครั้นถ้วนคำรบครบพันพสุธาเลื่อนลั่นสนั่นไหวบังเกิดเป็นนางขึ้นกลางไฟแน่งน้อยวิไลทั้งกายา ฯ
จากข้อความนี้ ระบุเพียงว่า นางกาลอัจนา เกิดขึ้นจากกองไฟ แต่ไม่ได้ระบุว่า ใช้วัสดุใดสังเคราะห์ร่างกายของนางขึ้นมา ดังนั้น ทางเราจึงคาดว่า พระฤๅษีโคดมคงใช้ไม้ฟืนที่นำมาก่อกองไฟนั่นแหละเป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ร่างกายนางขึ้นมา จึงนับได้ว่า นางกาลอัจนาถูกสร้างจากวัสดุซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามป่าเขา

๔.พระจอกแก้ว-ชื่อนี้ไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากนัก แต่เจ้าของชื่อนี้ คือ พระเอกจากวรรณกรรมวัดเกาะเรื่อง“จอกแก้ว”
อันชาติกำเนิดแต่เดิมของพระจอกแก้วนั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา แต่เคยเป็นถึงเพชร(แก้ววิเชียร)สีเหลืองทองอ่อนที่ประดับอยู่บนหัวแหวนรูปนาคของพระจันทรเทพบุตร แต่ในตอนที่อสุรินทราหูเข้าแนบชิดจันทรเทพบุตรจนเกิดเป็นจันทรคราสให้มืดมิดนั้น พระจันทรเทพบุตรได้ยกมือขึ้นสะบัดให้ตนสามารถหลุดพ้นจากอสุรินทราหูที่กำลังอ่อนกำลังลงเพราะถูกขับไล่ ทำให้แหวนนาคประดับเพชรหลุดตกลงไปยังมหาสมุทร ทว่ามหาสมุทรก็ก่อรูปเป็นจอกแก้วเข้ารับแหวนวงนั้นไว้ แล้วลอยเวียนวนไปถึงบัลลังก์อนันตนาคราชที่ประทับของพระนารายณ์
เมื่อพระนารายณ์เห็นจอกแก้วส่องแสงสีเหลืองทอง จึงนำขึ้นพิจารณาจนพบแหวนอยู่ภายใน ซึ่งพระนารายณ์ก็คะเนว่าคงเป็นแหวนของพระจันทรเทพบุตรที่หลุดลงมาเมื่อคืนที่เกิดจันทรคราส
ด้วยความเสียดายและเล็งเห็นประโยชน์ว่าน่าจะให้เป็นผู้กอบกู้ได้(ว่าง่ายๆก็จะให้เป็นพระเอกนั่นล่ะ) พระนารายณ์จึงสังเคราะห์แก้ววิเชียรเหลืองอ่อนที่หัวแหวนนั้นให้กลายเป็นกุมารน้อย จากนั้นจึงเป่าซ้ำใส่ให้โตขึ้นกลายเป็นหนุ่มน้อยแรกรุ่นในบัดดลทันที(เรียกได้ว่าโตทันใช้ของจริง) จากนั้นพระนารายณ์จึงตั้งชื่อว่า“จอกแก้ว”
พระจอกแก้วนี้ นับได้ว่าเป็นมนุษย์สังเคราะห์ที่ได้รับบท“พระเอก”(และอาจเป็นมนุษย์สังเคราะห์เพียงรายเดียวที่ได้รับบทพระเอกด้วย)


จาก ประดิษฐกรรมวิทยาศาสตร์ล้ำยุคในวรรณคดีไทย (SET 6) ชุด มนุษย์สังเคราะห์

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

SET 5 ชุด ยานพาหนะและอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงที่ใช้ในการเดินทาง

ในนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีไทย มียานพาหนะและอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงอยู่หลากหลายชนิด ความหมายของยานพาหนะและอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงก็คือ ยานพาหนะและอุปกรณ์ต่างๆที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเหาะเหินรึเดินทางในอากาศได้ทำนองเดียวกับอากาศยานแต่พกพาได้สะดวกกว่าและเดินทางได้รวดเร็วกว่า ซึ่งทางเราได้รวบรวมอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงบางส่วนจากนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีไทยไว้ ดังนี้
๑.เรือเหาะของนางแก้ว(หน้าม้า)-เป็นเรือเหาะที่พระฤๅษีผู้ถอดรูปให้กับนางแก้วเป็นผู้นิมิต(สร้าง)ให้นางแก้ว โดยเปลี่ยนสภาพ(Transform)หนังสือเล่มหนึ่งให้กลายเป็นเรือเหาะขนาดกลางไว้ให้ใช้ในการเดินทาง นอกจากนั้นเรือเหาะนี้ยังสามารถแปลงเป็นงูซึ่งน่าจะเป็นหุ่นพยนตร์รูปแบบหนึ่งได้ด้วย





อนึ่ง เรือเหาะของนางแก้วนี้ใช้ระบบสั่งการผ่านจิต เรียกว่า การอธิษฐาน และยังเป็นยานพาหนะที่ไม่ต้องใช้ล้อในการขับเคลื่อนรึแม้แต่ระบบเครื่องยนตร์อันก่อให้เกิดไอเสียซึ่งสร้างมลพิษให้ธรรมชาติก็ไม่ต้องใช้เช่นกัน
สำหรับปัญหาเรื่องการเดินทางด้วยความเร็วสูงจะมีผลต่อผู้ใช้รึไม่นั้น คำตอบก็คือ ไม่ เพราะเมื่อผู้ใช้ได้สวมใส่อุปกรณ์รึขึ้นโดยสารยานพาหนะที่ตัดสนามแรงโน้มถ่วง ตัวผู้ใช้เองก็จะตัดขาดจากสนามแรงโน้มถ่วงภายนอกด้วย แต่จะถูกยึดโยงเหนี่ยวนำด้วยแรงดึงดูดภายในของอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงนั้นๆแทน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นแรงปะทะในอากาศรึแรงเสียดทานต่างๆที่ส่งผลให้ความเร็วของวัตถุในการเดินทางลดลงนั้นจึงไม่มี สั่งให้ไปก็ไปสั่งให้หยุดก็หยุดได้ในทันทีตามใจนึก ผู้ใช้จึงสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย(เกือบ๑๐๐%)และตัวยานพาหนะและอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงเหล่านี้เคลื่อนที่ด้วยอำนาจของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจากภายในของมันตัวเองผ่านการกระตุ้นของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าตัวผู้ใช้
วิธีบังคับนั้นเล่าก็แสนง่าย เพราะเรือยนตร์หลังนี้มีสายยนต์ยาวสาวเหาะสำหรับใช้บังคับตัวเรือ เพียงดึงเบาๆเรือนี้ก็จะลอยขึ้นอย่างง่ายดาย
๒.เกือกทองของพระสังข์(ทอง)-อุปกรณ์ชิ้นนี้ อาจต้องใช้ร่วมกับกระบองวิเศษที่ได้มาพร้อมกัน วิธีใช้ก็คล้ายๆกับที่ได้อธิบายไว้ในเรื่องของเรือเหาะนางแก้วแล้ว คือ สวมใส่ตัวผู้ใช้เองก็จะตัดขาดจากสนามแรงโน้มถ่วงภายนอก รองเท้าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการลอยตัว ส่วนกระบองอาจใช้ในการบังคับสมดุลย์รึทิศทางระหว่างที่ลอยตัวอยู่ก็เป็นได้
๓.เรือเหาะของท้าวหงส์หิน-พระฤๅษีสร้างขึ้นจากก้อนหินโดยแปลงสภาพก้อนหินเป็นเรือหินเหาะได้รูปหงส์ ซึ่งแน่นอนว่า หินทั่วไปไม่สามารถลอยได้ แต่ถ้าหินนั้นถูกทำให้อยู่ในสถานะที่ตัดขาดจากสนามแรงโน้มถ่วงโลกแล้ว แรงกระทำต่างๆก็จะไร้ผลอย่างที่ได้อธิอายไว้พอสังเขปในตอนต้นแล้ว
๔.ปีกยนตร์ของนางทั้งเจ็ด-รามวงศ์โอรสองค์โตของสิงหไกรภพที่ขณะนั้นออกบวชถือพรตเป็นดาบสได้ออกแบบสร้างให้นางทั้ง๗ซึ่งเป็นธิดากษัตริย์ที่ถูกบิดาส่งลงสำเภาทองเพื่อหนีภัยนครล่มจากน้ำท่วมใหญ่ไว้ใช้สำหรับบินในการเดินทางหลังจากที่รามวงศ์ได้ให้ทั้ง๗นางออกบวชถือพรตเป็นดาบสินีแล้ว รายละเอียดการสร้างนั้น มีดังนี้
พี่จะทำปีกประดับสำหรับองค์
ให้โฉมยงรู้บินเหมือนกินรี
แล้วลดเลี้ยวเที่ยวค้นเดินวนวก
เก็บขนนกมาประดับสลับสี
เป็นปีกใส่สายยนต์ไกกลมี
ให้บุตรีเจ็ดองค์สวมทรงกร
ให้โผผินบินลองก็ข้องขัด
หน่อกระษัตริย์จับมือกระพือสอน
ยุพาพินบินเป็นเผ่นอัมพร
แฉลบร่อนราปีกเลี่ยงหลีกลม
จากข้อมูลทั้งหมด อนุมานได้ว่า รามวงศ์ได้นำวิทยาการต้นแบบปีกของชาวกินนรกลุ่มที่ต้องสวมปีกสวมหางก่อนจึงจะบินได้ มาต่อยอดออกแบบใหม่ให้นางทั้ง๗ซึ่งเป็นมนุษย์และไม่เคยฝึกหัดบินโดยติดปีกแบบพวกกินรีมาก่อนได้ฝึกหัดใช้ทดสอบบินจนแคล่วคล่อง ซึ่งวิทยาการปีกต้นแบบของชาวกินนรนี้ รามวงศ์ก็น่าจะรู้จักเป็นอย่างดีจากชายาของตนที่ชื่อว่า นางแก้วกินรี ซึ่งเป็นธิดาของ พระยายักษ์เทพาสูร เจ้านครกาลวาศ กับ นางเทพกินรา ซึ่งเป็นกินรี
อันนางเทพกินรานี้ เป็นชาวกินนรที่ต้องสวมปีกก่อนจึงจะบินได้ ซึ่งตัวนางก็คงจะได้สอนวิธีการสร้างปีกยนตร์ให้กับธิดาซึ่งเป็นเลือดผสมครึ่งยักษ์ครึ่งกินรีด้วย เพราะตัวนางแก้วกินรีเองก็ปีกยนตร์เช่นกัน แต่ภายหลังถูกนางผีป่าอองออยจำแลงร่างฉีกขนปีกไปบางส่วน ก่อนที่นางแก้วกินรีจะถูกนางอองออยตีจนสลบแล้วโยนลงแม่น้ำ ทว่าปีกส่วนที่ยังติดอยู่กับร่างของนางแก้วกินรีก็ยังสามารถช่วยพยุงร่างของนางไว้ไม่ให้จมน้ำ ร่างของนางถูกปีกชูให้ลอยน้ำอยู่ถึง๕วันจึงถูกซัดมาเกยฝั่ง รอดตายราวปาฏิหาริย์
ส่วนวิธีการสร้างปีกนั้น สามารถสันนิษฐานคร่าวๆได้ว่า ตัวโครงของปีกน่าจะสร้างจากไม้มวลเบา เพราะสามารถพยุงร่างของผู้ใช้ให้ลอยน้ำได้ และจะต้องไม่หนักเกินไปในเวลาที่สวมใส่ ภายในโครงประกอบด้วยสายยนตร์และระบบกลไกซึ่งก็น่าจะเป็นไม้ทั้งหมด ภายนอกประดับด้วยขนนกตามแต่จะหาเก็บได้ และด้วยวิทยาการของชาวกินนรสวมปีกนี่เองที่ทำให้ปีกยนตร์ซึ่งประกอบขึ้นจากวัสดุธรรมชาตินานาชนิดกลายเป็นอุปกรณ์ตัดสนามแรงโน้มถ่วงที่ทำให้ผู้ใช้บินได้
ด้านเจ้าของวิทยาการปีกยนตร์ที่ว่านี้ แม้จะได้ชื่อว่า ชาวกินนร ทว่ากลับมีร่างกายเหมือนมนุษย์ทุกส่วนสัด ผิดกับเหล่ากินนรที่บินได้เองตามธรรมชาติเพราะลักษณะทางกายภาพมีส่วนคล้ายนกอยู่มาก จึงขอคะเนเป็นการส่วนตัวว่า ชาวกินนรติดปีกยนตร์นี้ น่าจะเป็นกลุ่มเลือดผสม ที่มีบิดาเป็นมนุษย์แต่มารดาเป็นกินรีร่างนก ซึ่งมีข้อมูลจากพระไตรปิฎกระบุว่า ทายาทเลือดผสมของบุรุษชาวมนุษย์กับนางกินรีร่างนกนั้นจะคลอดออกมาเป็นฟองไข่ก่อน แต่เมื่อไข่ฟักออกมาแล้ว ทายาทเลือดผสมเหล่านั้นจะมีร่างเป็นมนุษย์เต็มตัวแตกต่างจากนางกินรีผู้เป็นมารดาอย่างชัดเจน ทว่าถึงภายนอกจะดูป็นมนุษย์ แต่ภายในอาจมีข้อแตกต่าง เช่น มีกระดูกที่กลวงและเบากว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งเป็นปัจจัยเอื้อต่อการบิน แต่เนื่องจากลักษณะทางกายภาพภายนอกไม่อำนวย วิทยาการปีกยนตร์จึงได้ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้น เพื่อให้ชาวกินนรเลือดผสมสามารถใช้โบยบินได้เหมือนกินนรตามธรรมชาตินั่นเอง




SET 4 ชุด หุ่นพยนตร์รุ่นพกพาและแบบซ้อนกล

ในชุดนี้เราขอนำเสนอผลิตภัณฑ์ของหุ่นพยนตร์รุ่นแปลกๆที่หาชมไม่ได้ทั่วไปในปัจจุบัน หุ่นพยนตร์นี้ ถ้าจะให้ทำความเข้าใจกันด้วยภาษาร่วมสมัย หุ่นพยนตร์ก็น่าจะหมายถึงพวก หุ่นแอนดรอยด์(Android) เพราะหุ่นพยนตร์นั้นคือสิ่งจำลองสิ่งมีชีวิต(ทั้งคนและสัตว์และอาจรวมถึงสัตว์ประหลาดด้วย)ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง ในขณะที่ฝรั่งยังจำกัดศัพท์ของแอนดรอยด์อยู่ที่ หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างเลียนแบบให้มีลักษณะคล้ายมนุษย์อยู่(รวมถึงเอาไปเป็นชื่อของอุปกรณ์สื่อสารไร้สายบางชนิด)

๑.ม้าพยนตร์(ม้าธนู?)ของลักษณะวงศ์-ม้าตัวนี้ฤๅษีได้เสกให้ลักษณะวงศ์โดยการปั้นคลึงจากขี้ผึ้ง(โบราณเรียกขีผึ้ง) พระเจ้าตาใช้แค่มือเดียวคลึงแล้วภาวนาคาถาจนกลายเป็นม้านิลพาชี(ม้าดำ-สีขี้ผึ้ง) นอกจากม้าพยนตร์ตัวนี้จะมีกำลังความเร็วสูงถึงขั้นเดินหลางหาว(เหาะ)ได้แล้ว ยังสามารถพูดเจรจาและให้คำปรึกษาได้ในหลายๆเรื่อง(คาดว่าสมองและระบบประสาท(พฤหัสบดี)จะถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์มาก เพราะตอนที่รบกับท้าววิรุญมาศพญายักษ์นั้น ม้าพยนตร์ตัวนี้สังเกตมองเห็นเขี้ยวในปากท้าววิรุญมาศที่แปลงเป็นพระอินทร์ จึงเตือนสติลักษณะวงศ์ที่กำลังหลงในร่างพระอินทร์แปลงจนได้สติคืนมา และทำให้พลิกสถานการณ์รบในขณะนั้นได้ ฉลาดมาก!) แต่เมื่อเราได้เกริ่นไว้แล้วว่าเป็นรุ่นพกพา ทางเราจึงขอแจ้งว่า ม้าพยนตร์รุ่นนี้สามารถย่อส่วนได้!!! โดยอัตราส่วนในเวลาที่ไม่ได้ใช้งานนั้นมีขนาดเท่าเล็บรึแมลงวัน(ประมาณ ๑-๑.๕ ซม.)เท่านั้น!!! ซึ่งนับว่าพระเจ้าตานั้น ปั้นของจิ๋วเก่งมากเลย ทำให้ม้าพยนตร์รุ่นนี้สามารถซ่อนไว้ตามเสื้อผ้าได้ นับว่าเป็นรุ่นที่พกพาได้สะดวกมากๆ(แต่ระวังหายนะเพราะมันตัวเล็กจริงๆ) ส่วนวิธีการเก็บม้านั้น ตามท้องเรื่องระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า ให้ตั้งจิตอธิษฐานถึงฤๅษี(ระลึกถึงครูบาอาจารย์นั่นแหละ) แล้วเสกใส่พญาม้า ๓ ที เท่านี้พญาพาชีก็จะเล็กเท่าแมลงวันได้แล้ว!!!(ยังไม่ทราบว่ารุ่นรี้กินอาหารรึไม่ แต่อาจต้องไม่กินก็ได้)






๒.สร้อยสังวาลพรายของโคบุตร-สร้อยนี้เป็น ๑ ในเทพศาสตราที่พระอาทิตย์พ่อของโคบุตรได้มอบให้(นัยว่าเป็นเครื่องประดับ เครื่องป้องกัน ไม่ใช่อาวุธ) ตามท้องเรื่องกล่าวว่า สร้อยเส้นนี้ เมื่อถอดออกอธิษฐานแล้วขว้างไปในอากาศ จะกลายเป็นฝูงเทวดาถือพระขรรค์ดารดาษทั่วท้องฟ้า จากการวิเคราะห์ทางเราคาดว่า สร้อยเส้นนี้น่าจะมีลักษณะคล้ายสายประคำและเทวดาถือดาบเหล่านั้นก็คือลูกประคำ ซึ่งจำนวนพลเทวดนั้นน่าจะมีอยู ๑๐๘ องค์ ตามจำนวนลูกประคำ(เทวดา ๑ องค์ ต่อ ประคำ ๑ ลูก) และลูกประคำเหล่านี้ไม่น่าจะเชื่อมต่อกันด้วยเส้นเชือก แต่ลูกประคำทั้ง ๑๐๘ นั้น จะต้องเป็นโลหะพิเศษ รึ โลหะเนื้อผสม ที่สามารถดูดติดกันได้แบบแม่เหล็ก เมื่อโยนขึ้นฟ้าลูกประคำเหล่านี้จึงแยกตัวเป็นอิสระจากกันได้ และเมื่อกลายเป็นเทวดาแล้ว สามารถส่งการ(เซ็ตโปรแกรม)ให้ทำการรบอย่างง่ายๆเพื่อถ่วงเวลาได้(หุ่นพยนตร์รุ่นปกติทั่วไปรับและทำได้แค่ทีละ ๑ คำสั่ง) ซึ่งสร้อยสังวาลนี้โคบุตรใช้ในตอนที่โคบุตรรบกับพญายักษ์หัศกัณฐ์(เนื่องจากใช้แหวน”ธำมรงค์สุริยกาญจน์”เทพอาวุธอีกชิ้นที่เราเคยวิเคราะห์ไว้ว่าเป็นแหวนที่ยิงเลเซอร์ได้ ๗ ทิศทาง สู้กับหัศกัณฐ์แล้วฆ่ามันไม่ตาย) หุ่นพยนตร์รูปเทวาเหล่านี้มีข้อดีตรงที่มีจำนวนเยอะ แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ เป็นแบบออโต้ที่ทำตามคำสั่งเท่าที่ทำได้เท่านั้น หลังจากใช้เสร็จสามารถเรียกกลับได้ทันที คือ รูปนิมิตเทวาเหล่านั้นจะหายไปแล้วย่อกลับเป็นลูกประคำ(นึกถึงบาคุกัน)ต่อกลับสายแล้วลอยกลับสู่มือเจ้าของเองได้


๓.รัดพระองค์(เข็มขัด?)ของโคบุตร-เทพอาวุธชิ้นนี้เมื่อถอดออกโยนไปจะกลายเป็นฝูงพญานาคจำนวนมหาศาล(ท้องเรื่องว่าเป็นหมื่นแสน)รึแค่ตัวเดียวก็ได้ แต่พวกนี้ได้แค่ระบบเดียว คือ ทำหน้าที่เหมือนนาคบาศคอยไล่รัดมัดศัตรูเท่านั้นทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่เข็มขัดนี้ก็มีข้อดีตรงที่หากผู้ใช้เผลอหลับ รึโดนสะกดให้หลับแล้วศัตรูคิดเข้ามาทำร้าย เข็มขัดนี้จะพุ่งใส่ศัตรูแล้วกลายเป็นนาครัดศัตรูทันที นับได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่เซฟชีวิตผู้ใช้ในยามประมาทได้ดีมาก(หากเจ้าของไม่ตื่นมันก็รัดไม่เลิกนะ)

๔.ยักษ์พยนตร์ในแท่นพยนตร์กลแห่งเมืองกาหลง-เป็นอุปกรณ์ชิ้นโตที่ท้าววิราชแห่งเมืองกาหลงสั่งให้อำมาตย์มนตรีที่รู้วิทยาคนหนึ่งประกอบขึ้นแล้วแกล้งนำไปถวายไว้ในตำหนักของนางอำพันธิดาท้าวกาหลงเพื่อจับชู้!ของพระธิดา(โคบุตรนั่นแหละ) การผูกพยนตร์ครั้งนี้ค่อนข้างลึกล้ำ คือ ด้านนอกทำเป็นแท่นวิเชียร(แท่นเพชร)แล้วซ่อนยักษ์พยนตร์ไว้ด้านใน วิธีการสร้างก็นับได้ว่าเป็นวิชาชั้นสูง คือ เริ่มด้วยการเอาเชือกมาวงไว้แล้วเสกบริกรรมด้วยวิทยา จากนั้นมัดหุ่นหญ้าวางไว้ด้วยจงใจ ตามด้วยบริกรรมซ้ำเสกข้าวสารซัด เชือกนั้นก็วิบัติผันแปรกลายเป็นบัลลังก์ที่นั่งหงส์ หุ่นหญ้าเองก็กลายเป็นยักษ์มาร พอเสกเสร็จอำมาตย์ก็ส่งกลองให้ใบหนึ่งแล้วภาวนาสั่งยักษ์พยนตร์(เซ็ตโปรแกรม)นั้นว่า บุรุษใดมาร่วมหลับกับนางอำพัน เมื่อนอนลงบนแท่นนี้จงตีกลอง ส่วนบัลลังก็ก็ให้กลับเป็นเชือกมัดตัวไว้(น่าจะทำงานแบบนาคบาศ) ตัวแท่นวิเชียรนี่ก็ไม่ธรรมดา เมื่อโคบุตรกับนางอำพันนอนลง แท่นกลนี้ก็จับเซนเซอร์ได้และทำการส่งเสียงประสานเพลงมโหรีปี่แก้วกล่อมจนหลับทั้งคู่(น่าจะเป็นคลื่นความถี่ต่ำแบบปี่พระอภัยฯ) เมื่อทั้งคู่หลับแล้วยักษ์พยนตร์ก็ออกมาตีกลองส่งสัญญาณดังสนั่นบอกให้คนรู้ ตัวบัลลังก์ก็กลับเป็นเชือกเตรียมรัดโคบุตรที่โดนสะกดไม่ยอมตื่นแม้เสียงกลองจะดังสนั่นแค่ไหน ขณะที่บัลลังก์เตรียมรัดโคบุตรนั้น ธำมรงค์สุริยกาญจน์และสังวาลพรายก็จับสัญญาณอันตรายได้ จึงแปลงเป็นจักรกรดตัดบัลังก์เชือกจนขาดลุ่ยเป็นจุณ หุ่นยักษ์เองก็ป่นยับ กลายเป็นผงคลีทั้งคู่(เข็มขัดมันจับอำมาตย์ตอนนี้แหละ คือ พอคนสร้างมันได้ยินกลองตีได้ ๒ ทีแล้วเงียบ เลยเข้าไปดูเห็นหุ่นตัวเองเละเป็นผงก็โกรธจัดกระโจนใส่โคบุตรที่ยังไม่ตื่น เข็มขัดเลยพุ่งออกไปชาร์จไว้ กลายเป็นนาคใหญ่พันตัวอำมาตย์จนหายใจไม่ออก อำมาตย์เลยอ่านมนตร์คลายสะกดให้โคบุตรตื่นก่อนมันเองจะตายนั่นแหละ)

๕.หุ่นรบตัวแทนวิรุญจำบังจากรามเกียรติ์-เมื่อครั้งสงคราม ฝ่ายลงกากำลังเสียท่า วิรุญจำบังที่นำทัพขณะนั้นเห็นท่าไม่ดี จึงถอกผ้าโพกหัวออกแล้วระลึกถึงคุณพรหมเมศนาถา(นาถา-ผู้เป็นที่พึ่ง) ลงยันตร์พันผูกหุ่นตามตำรา(มัดผ้าให้เป็นรูปคน?) แล้วร่ายเวทวิทยาเป่าไปหุ่นนั้นก็กลายเป็นยักษ์ขี่ม้า(น่าจะเอาหุ่นนั่งหลังม้าที่ตัวเองขี่) แล้ววิรุญจำบังจึงส่งหอกให้แล้วเซ็ตคำสั่งให้ไล่ฆ่าวานรในทัพพระราม จากนั้นตัวเองก็ชิ่งเพราะกลัวศรพรหมมาสตร์โดยการแกว่งคทาธรเหาะหนีไป หุ่นผ้านั้นก็ใช่ย่อยแกว่งหอกขี่ม้าล่ฆ่าทหารได้มากมาย ลิงหลบกันจ้าละหวั่น จะเข้าจับหุ่นก็จับไม่อยู่ ศาสตราวุธทิ่มแทงหลายต่อหลายทีมันก็ไม่ตาย เป็นรูปหุ่นที่ยืนยงคงอาวุธฆ่าไม่ตาย พิเภกจึงแนะให้พระรามหยุดการเคลื่อนไหวของหุ่นนั้นไว้ก่อนโดยการแผลงศรเป็นข่ายเพชรล้อมผ้าพยนตร์นั้นไว้ถึง ๗ ชั้น แล้วส่งหนุมานไปฆ่าตัวจริงเพื่อยุติการทำงานของตัวหุ่น นับได้ว่าหุ่นพยนตร์รุ่นนี้เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับใช้ในสงครามโดยเฉพาะอย่างแท้จริง ทำงานได้ดีมากและยังเชื่อมต่อกับผู้สั่งการโดยตรงด้วย ตราบใดที่ผู้สั่งการยังไม่ตายหุ่นรุ่นนี้ก็จะทำตามคำสั่งอย่างสุดความสามารถ ไม่มีใครทำลายได้ น่ากลัวมาก!(ร้ายกาจๆ)

หุ่นพยนตร์ต่างๆที่เสกให้เป็นสิ่งมีชีวิตจะเหมือนสิ่งมีชีวิตทุกประการไม่ว่าจะภายนอกรึภายใน ระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆก็เช่นกัน แต่พวกนี้ก็"ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง" ฉะนั้นเมื่อหุ่นพยนตร์เหล่านี้ตายรึถูกฆ่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับหุ่นพยนตร์ทุกครั้ง คือ การกลับคืนสู่สภาพเดิม หุ่นพยนตร์ทั้งหมดเมื่อตายลงจะคืนสู่สภาพของวัตถุดิบต้นกำเนิดในสภาพที่ถูกทำลายแล้ว เช่น หุ่งฟางก็จะกลับเป็นเศษฟางขาดๆไม่เป็นรูปร่าง หุ่นดินก็จะสลายเป็นกองดินแตกๆ ฯลฯ เป็นต้น ดังนั้น ในสงครามของหุ่นพยนตร์จึงไม่เหลือซากศพใดๆไว้พิสูจน์การเคยมีอยู่ของการสู้รบนั้นมาก่อน เพราะมันจะสลายไปตามธรรมชาติจนหมดสิ้น(เป็นการรบที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติมาก ไม่เหลือซากศพให้เน่าเหม็นเป็นมลภาวะในธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย)
* อนึ่ง หุ่นพยนตร์ทั่วไปในนิทานพื้นบ้าน มักทำงานแบบอัตโนมัติโดยตอบสนองต่อปฏิกิริยารูปแบบต่างๆของเป้าหมายตามภารกิจที่ถูกตั้งไว้เป็นหลัก ซึ่งมักเป็นรูปแบบการทำงานง่ายๆไม่ซับซ้อนที่จะทำวนเวียนซ้ำไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าในรูปแบบเดิมๆทุกครั้งที่ตรวจจับปฏิกิริยาจากเป้าหมายได้
ทว่า หุ่นพยนตร์บางชนิด เช่น ม้าพยนตร์(ม้าธนู?)ของลักษณะวงศ์ ก็อาจเข้าข่ายปัญญาประดิษฐ์(AI - Artificial Intelligence)ที่สามารถประเมิณและตอบโต้ไปตามสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างอัตโนมัติและอิสระด้วยการตระหนักรู้ในตนเอง(Self awareness) แต่เพื่อป้องกันการวิวัฒน์ตัวเอง(ที่อาจกลายเป็นภัยในอนาคต) หุ่นพยนตร์เหล่านั้นน่าจะถูกสร้างให้มีอายุขัย(อายุการใช้งาน)ที่จำกัด หรือมีระบบอื่นๆสำรองซ้อนเอาไว้ในตัวหุ่นเพื่อป้องกันการวิวัฒน์ตัวเอง
และมีความเป็นไปได้ว่า ๑ในกลวิธีตามนิทานพื้นบ้านเรื่องต่างๆที่ใช้สำหรับป้องกันไม่ให้หุ่นพยนตร์ที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ทั้งหลายเกิดการวิวัฒน์ตัวเองนั้น อาจเป็นการสร้างหุ่นพยนตร์เหล่านั้นให้อยู่ในรูปของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เพื่อป้องกันไม่ให้หุ่นพยนตร์ที่สามารถตระหนักรู้ได้เหล่านั้นมีอายตนะสัมผัสแบบมนุษย์ซึ่งอาจก่อให้เกิดแรงระตุ้นจากภายในให้หุ่นพยนตร์ปัญญาประดิษฐ์เหล่านั้นหมกมุ่นขวนขวายหาวิธีวิวัฒน์ตัวเองก็เป็นได้

SET 3 ชุด อาวุธ(มหาประลัย)ที่ไม่ใช่อาวุธ

 ในชุดนี้เราขอรวบรวมสารพัดอุปกรณ์ที่เป็นอาวุธแต่ดูไม่เหมือนอาวุธ ดังนี้

๑.คทาเพชรของสหัสเดชะ-คทานี้มีคุณสมบัติ"ต้นชี้ตาย ปลายชี้เป็น" วิธีใช้แสนสะดวกสบาย เพียงแค่ชี้คทาไปยังเป้าหมายก็สัมฤทธิ์ผล กลไกการทำงานซับซ้อนเล็กน้อย ด้านต้นรึหัวคทาที่ว่าชี้ใส่ใครก็ตายนั้น ทำงานคล้ายน้ำเต้าวิเศษในไซอิ๋ว คือ คทาด้านหัวทำหน้าที่ดูดจิต(สนามแรงฯ)เข้าไปเก็บไว้ในคทา คล้ายจิตถูกถอดออกไป ร่างไร้จิตก็ตาย(หากยังจำกันได้ หลีทิไกว้ หัวหน้า๘เซียน อดีตเคยเป็นหนุ่มรูปงาม แต่ถอดจิตไปท่องเที่ยวหลายวันจนศิษย์เข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ไปไม่กลับจึงนำร่างไปฝัง จิตกลับมาไม่มีที่อยู่ จึงรีบเข้าร่างขอทานก่อน เพราะ หากจิตดำรงอยู่นอกที่อาศัยเกิน๔๙วัน จิตจะเคลื่อนจุติไปตามกรรมวัฏฏะ) ดังนั้นคทานี้จึงสามารถเก็บรักษาจิตเอาไว้เหมือนร่างอันเป็นที่อาศัยของจิต คทา๑ด้ามนี้ สามารถเก็บจิตได้หลายต่อหลายดวง แบบที่โบราณบอกว่า บนเนื้อที่ของปลายเข็ม ๑ เล่มมีเทวดาสถิตได้นับพันนับหมื่นองค์ ฉะนั้นหากชี้หัวคทานี้ใส่กองทัพใด ทั้งกองทัพนั้นก็ตายได้ในทันที(ดูดจิตหมู่) ร่างนั้นทิ้งไปนานๆก็ผุพังไปเอง ไม่ต้องไปสนใจ แต่ทว่าอานุภาพของคทานี้ยังไม่หมด ด้านปลายของคทานั้นว่ากันว่าชี้ใส่คนตาย คนตายจะฟื้นคืนชีพได้ ระบบนี้ก็สืบเนื่องมาจากการทำงานของหัวคทาที่กักจิตไว้ภายใน ปลายคทานี้ทำหน้าที่คล้ายรีโมตยิงสัญญาณ คือ ปลายคทาจะยิงจิตที่เก็บไว้ภายใน ใส่ร่างที่ตายแล้ว(อาจรวมถึงทำหน้าที่สมานแผลบนร่างศพด้วย) ร่างจะประสานกับจิตดวงใหม่ และพร้อมใช้งานในทันที

    เรื่องการซ้อนทับของกายทิพย์อันเป็นปรากฏการณ์แสงสว่างในแสงสว่างนี้ ขอยกตัวอย่างอย่างง่ายถึงง่ายที่สุด อุปมาเช่น เมื่อท่านฉายแสงจากกระบอกไฟฉายนับสิบดวงลงในจุดเดียวกันโดยไม่เหลื่อมกันนั้น แสงจากไฟฉายเหล่านั้นย่อมซ้อนกันจนแยกไม่ออกว่าแสงใดมาจากไฟฉายกระบอกไหน

*หลายท่านอาจสงสัยว่า ในเมื่อกายกับจิตเป็นของคนละคนกัน จะไม่เกิดความสับสนขึ้นหรือหากใน
สงครามจิตของทหารต้องไปเข้าร่างทหารที่เป็นศัตรู? คำตอบนั้นเราเคยแจ้งไว้แล้วใน ศาสตร์สัญชีวนี วิชาย้ายร่าง คือ ความทรงจำกว่า๙๐%เป็นของสมองซึ่งอยู่ในกาย จิตที่เข้าร่างนั้นจะเหลือเพียงความทรงจำสุดท้ายซึ่งมีแค่ราวๆ๑๐%ของความทรงจำที่ติดมาจากกายเดิมเท่านั้น ฉะนั้นหากอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างในสนามรบ ไม่มีเวลาให้คิดทบทวนเหตุการณ์ ความทรงจำจะเลือนลางและถูกลวงให้สับสน เช่น จำได้ลางๆว่ากำลังรบกันอยู่ แต่จำไม่ได้ว่าตนอยู่ข้างไหน พอรีบๆนึกจิตจะไปคว้าเอาความทรงจำในสมองซึ่งอยู่ตื้นและค้นหาได้ง่ายกว่าความทรงจำในจิตขึ้นมาใช้แทน ฉะนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าทหารที่ฟื้นขึ้นมาใหม่ๆจะทรยศทั้งกองทัพ เพราะถ้าไม่"ว่าง"มากจริงๆ ใครจะมานั่งนึกระลึกชาติว่าตัวเองเคยเป็นใครมาก่อน(สภาวะนี้คล้ายการระลึกชาติจริงๆนะ หากไม่คิดทบทวนถึงอดีตชาติในร่างเดิม ปล่อยไปจะลืมไปเลย) และที่สำคัญ อาวุธวิเศษเหล่านี้สั่งการด้วยจิตทั้งสิ้น เพราะหากทำงานอัตโนมัติ มันจะกลายเป็นมุขตลกร้าย ประมาณว่าปืนลั่น ชี้ใครก็ตายหมด ชี้ตัวเองก็ตาย

๒.นิ้วเพชรของนนทก-อาวุธออโต้ที่นำความบรรลัยมาสู่ผู้ใช้ อาวุธนี้น่าจะคล้ายกับปืนแสง(เลเซอร์)ที่มือคอบร้า จากที่มีคำว่าเพชรอยู่ในชื่อ เราจึงคาดว่า อาวุธนี้ใช้รวบรวมคลื่นความร้อนแล้วยิงออกมาแบบแสงเลเซอร์ แต่อาวุธนี้ไม่ได้สั่งผ่านจิต แต่ทำงานอัตโนมัติ ฉะนั้นตอนที่นนทกโดนหลอกให้รำตาม จนชี้ที่ขาตนเอง อาวุธจึงยิงเองทันทีโดยไม่ต้องสั่ง(ปืนลั่น?) นิ้วเพชรน่าจะคล้ายการดัดแปลงนิ้วมือเป็นเครื่องยิงเลเซอร์ ดังนั้นจึงควรจัดว่าเป็นการเข้าข่ายการใช้อวัยวะเทียมมากกว่า(นิ้วเทียมที่เป็นอาวุธ)  ดังนั้นนนทกก็นับได้ว่าเป็นไซบอร์กประเภทหนึ่ง?





แอนดรอยด์(Android) คือ หุ่นยนต์ที่คล้ายมนุษย์ ซึ่งในที่นี้ หมายความรวมถึงพวกหุ่นพยนตร์ด้วย เพราะหุ่นพยนตร์นั้นคือสิ่งจำลองสิ่งมีชีวิต(ทั้งคนและสัตว์และอาจรวมถึงสัตว์ประหลาดด้วย)ที่ปฏิบัติตามคำสั่งแต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง
ไซบอร์ก(Cyborg) คือ มนุษย์ที่ใช้อะไหล่อวัยวะเทียม(มนุษย์ดัดแปลง)
!!!อย่าสับสน!!!

๓.นัยน์ตา(คอนแทคเลนส์!?)ของกาลเนตร-พญายักษ์ตนนี้ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ปรากฏตัวในเรื่องสิงหไกรภพฉบับดั้งเดิม(ไม่ใช่ที่ไอ้บริษัท๓หัวเอามาทำจนพินาศย่อยยับนั่นนะ)เป็นศัตรูของรามวงศ์ ลูกชายของสิงหไกรภพ และเป็นจ้าวเมืองยักษ์นัคเรศ เรื่องว่า นัยน์ตาคู่นี้มีอานุภาพนัก หากท้าวท่าน"ลืมจักษุดุผู้ใด เป็นเพลิงไหม้หมดกายวอดวายปราณ" คือ หากเพ่งมองผู้ใดโดยใช้โทสะบังคับควบคุม ผู้ที่โดนมองนั้นจะไหม้จนหาซากไม่ได้(ยิ่งกว่าตาซูเปอร์แมน น่าจะประมาณฤาษีตาไฟ)นัยน์ตานี้น่าจะทำหน้าที่รวมคลื่นความถี่ต่างๆจากโทสะ แล้วทำปฏิกิริยาผ่านการเพ่งมอง คือ ยิงคลื่นนั้นใส่เป้าหมายโดยคลื่นนั้นจะทำให้อนุภาคในวัตถุ(ในที่นี้คือ ตัวผู้ถูกมอง)เกิดการสั่นสะเทือนจนลุกไหม้จากภายใน และเมื่อเผาไหม้จากภายในจึงไม่หลงเหลือซากไว้มากนัก(น่าจะเข้าข่ายการเป็นไซบอร์กแบบนนทก คือ เป็นการดัดแปลงเลนส์นัยน์ตาเป็นเครื่องสร้างแรงสะเทือนให้อะตอม)

๔.อีโต้อเนกประสงค์ของนางแก้ว(หน้าม้า)-อีโต้เล่มนี้ ท่านฤาษีประทานให้พร้อมเรือเหาะ โดยทั่วไปอีโต้นี้ทำได้สารพัดตั้งแต่ ผ่าฟืน ทำครัว รึแม้แต่เป็นอาวุธ แสดงให้เห็นถึงระดับจิตอันสูงส่งของฤาษีผู้สร้างที่ทำให้อีโต้นี้ทำได้สารพัดทั้งงานสูงงานต่ำโดยที่อีโต้นี้ของไม่เสื่อมฤทธิ์ไม่สูญแม้แต่น้อย(อีโต้เล่มนี้สามารถแปลงเป็นไม้เท้าได้อีกด้วย!!!)

๕.ปี่ของพระอภัยมณี-ของวิเศษอีกชิ้นที่เป็นข่าวบ่อยมาก จากข้อมูลเราทราบว่า ปี่นี้สามารถปรับความแรงได้ตั้งแต่ทำให้เคลิบเคลิ้ม นะ จังงัง หลับไหลไร้สติ ไปจนถึงทำให้แก้วหูแตกตาย ซึ่งน่าจะเป็นการปรับคลื่นความถี่ของเสียง ทำให้เกิดผลหลายรูปแบบ(ความถี่ยิ่งต่ำยิ่งอันตราย แบบไมค์หอนน่ะ) ตามท้องเรื่อง วิธีป้องกันเสียงปี่นั้นพระอภัยฯให้ใช้น้ำบ่อน้อย(น้ำลาย)หยอดไว้ในรูหูก็จะป้องกันเสียงของปี่นี้ได้

๖.แหวนของโคบุตร-ขอยกกลอนตอน โคบุตรต่อสู้กับ"หัศกัณฐ์"ยักษ์ครึ่งปลา มาตีความ ดังนี้

หัศกัณฐ์แหวกว่ายมาในน้ำ        เที่ยวผุดดำวารินกินมัจฉา
เห็นมนุษย์พี่น้องทั้งสองรา        มันโกรธาโกรธนักดังอัคคี
สิงหนาทผาดแผลงสำแดงฤทธิ์  ดังจะปิดบังแสงพระสุริย์ศรี
หมายเขม้นเข่นฆ่าเข้าราวี         อสุรีถาโถมกระโจมมา
ยี่สิบหัตถ์รัดรวบพระทรงฤทธิ์    หมายให้คิดอยู่ในมือของยักษา
พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา    พระกรคว้ากอดน้องประคองไว้
พระหัตถ์ขวาถอดธำมรงค์ขว้าง  หมายจะล้างขุนยักษ์ให้ตักษัย
ถูกมารร้ายกายกรเป็นท่อนไป   โลหิตไหลโซมลงในคงคาฯ

แหวนวิเศษ แหวนนี้ทำอะไรได้? จากท่อนที่ว่า"ถูกมารร้ายกายกรเป็นท่อนไป" แสดงว่าแหวนนี้ตัดร่างยักษ์ให้เป็นท่อนๆได้ แต่ไม่ได้บอกว่าทำยังไง จึงย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้านี้ คือตอนที่โคบุตรสู้กับ๔รากษส จึงขอยกวรรคเล็กๆมาดังนี้

พระโคบุตรสุริยาวราเดช                 เอาธำมรงค์บิตุเรศอันเรืองฉาย
พระหัตถ์ขว้างเป็นแสงประกายพราย  ประหารกายยักษ์ขาดลงดาษดิน
ฯลฯ

เมื่อรวมความหมายทั้งหมด จะได้ความว่า แหวนวงนี้สามารถตัดร่างกายให้ขาดเป็นชิ้นๆได้ด้วย"แสงที่เป็นประกาย"ที่เปล่งออกมาจากแหวน แล้วแสงแบบใดล่ะที่คมขนาดตัดร่างกายให้ขาดได้? เคยดูสตาร์วอส์มั้ยล่ะ นั่นล่ะคำตอบที่เข้าล๊อคของเราได้พอดี แหวนวงนี้คือ"แหวนเลเซอร์กำลังสูง!!!"แถมไม่ใช่แสงเลเซอร์แค่เส้นเดียวด้วย แต่ต้องเป็นแสงเลเซอร์จากอัญมณี(ตัวสร้างแสงเลเซอร์)ที่มีอยู่รอบวงแหวน เพราะในเรื่องบอกว่า"แสงประกายพราย"และตามท้องเรื่องบอกชัดๆอีกว่าแหวนวงนี้ตัดร่างหัศกัณฐ์ขาดเป็น"๗ท่อน"อีกด้วย

อุปกรณ์ชิ้นนี้นับว่ามีความสะดวกสบายในการใช้งานมาก เนื่องจากมีขนาดเล็กกระทัดรัดและอานุภาพแรงสูง


๗.พิณของรามวงศ์-รามวงศ์ลูกชายของสิงหไกรภพ พิณนี้มีประสิทธิภาพคล้ายปี่ของพระอภัยมณี เมื่อบรรเลงแล้วทำให้เกิดคลื่นเสียงความถี่ต่ำที่ทำให้หลับใหล แต่หากปรับคลื่นแล้วสามารถทำให้เกิดอาการที่กลอนเรียกว่า"เหมือนสายฟ้าผ่าต้องทั้งสองกรรณ" คือ เกิดอาการแก้วหูลั่นจนหูแตกตาย

๘.พัดใบตาลจักรกรดของ ๒ สาวพี่น้อง-๒พี่น้องนี้อยู่ในเรื่องสิงหไกรภพ เป็นลูกครึ่งแม่เป็นยักษ์พ่อเป็นครุฑ คอยตามรามวงศ์ตอนท้ายเรื่อง พัดใบตาลนี้ดูเผินๆก็ไม่มีอะไรแปลก แต่พัดนี้มีความคมอันไร้ที่ติ ว่ากันว่า พัดนี้ตัดศีรษะได้เหมือนตัดหยวกกล้วย! เป็นอาวุธระยะประชิดที่หากผู้ใช้มีความเร็วสูงจะใช้ได้สะดวกมาก

๙.ศีรษะของอินทรชิต-สิ่งนี้จัดเป็น ๑ ในอาวุธมหาประลัยที่ร้ายกาจที่สุดใน ๓ โลก จากโคลงภาพจิตรกรรม ได้บรรยายอานุภาพไว้ ดังนี้

๒๒๓๒ แม้เศียรขาดตกพื้น  ดินพลัน
เพลิงเกิดดุจไฟกัลป์         โลกยไหม้
พานรัตนรับเศียรมัน          มีอยู่ พรหมแฮ
พระสั่งองคตให้              สูท้าวธาดา ฯ

หมายความว่า เมื่อศีรษะอินทรชิตตกถึงพื้นดินจะทำให้เกิดไฟประลัยกัลป์ กัลป์นั้นคือค่าของสนามเวลาขนาดใหญ่ของอวกาศที่เชื่อมโยงโลกทุกมิติไว้ด้วยกัน การเกิดไฟประลัยกัลป์จึงหมายถึง สนามเวลาขนาดใหญ่นั้นจะถูกทำลาย อานุภาพไฟประลัยกัลป์จากเรื่องอื่นที่นำมาเทียบเคียงนั้ง ระบุว่า เมื่อเกิดไฟประลัยกัลป์ ต้นไม้จะแห้งเฉา แผ่นดินจะแตกระแหงไม่สามารถเพาะปลูกสิ่งใดได้  แม่น้ำสาครมหาสมุทรใหญ่จะแห้งขอด ฟ้าฝนจะไม่ตก ภัยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น เป็นการทำลายล้างที่ไม่ได้ทำลายที่ภายนอก แต่ทำลายที่โครงสร้างสนามพลังงานภายในของธรรมชาติ เพราะทำให้เกิดความแห้งแล้งเหี่ยวเฉาอย่างเฉียบพลัน จึงถูกเรียกว่า ทำให้เกิดไฟประลัยกัลป์ได้นั่นเอง

SET 2 ชุด ชุดพลาง4มิติ

ชุดพราง4มิติ ผลิตภัณฑ์ยอดฮิตในวรรณคดีไทยเรื่องต่างๆอีกชนิดหนึ่ง มักใช้ในการปลอมตัว ซ่อนรูปซ่อนความงาม ผู้ใช้นั้นมักเป็นบุคคลระดับปัญญาชนมีความสามารถ แต่ซ่อนอยู่ในร่างกายอัปลักษณ์ ตัวอย่างชุดพราง4มิติ มีดังนี้

๑.หน้าม้าของนางแก้ว หรือที่รู้จักกันในนาม”แก้วหน้าม้า”หญิงสาวที่มีรูปหน้ายาวรีคล้ายม้ม้า!(ไม่ใช่มีศีรษะเป็นม้า!!!) เธอกำเนิดมาพร้อมกับใบหน้าที่คล้ายม้า แต่!จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ใบหน้านั้นเป็นเพียงหน้ากากทิพย์(จัดเป็นของวิเศษอีกชนิดหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับเจ้าของผู้มีบุญ แบบเดียวกับ หอยสังข์ ของพระสังข์ จาก สังข์ทอง หรือ เรือนไทยหลังน้อยของโสนน้อยเรือนงาม)

๒.ชุดเงาะของพระสังข์ จากสังข์ทอง เป็นชุดพรางขนาดฟูลไซส์ ในขณะที่ของนางแก้วเป็นเพียงหน้ากาก แต่ชุดเงาะนี้พรางได้ทั้งร่าง ใส่แล้วดำทั้งตัว แต่ก่อนจะสวมชุดทิพย์นี้ จะต้องทำการ”ชุบตัว”ในบ่อเงิน บ่อทอง เสียก่อน(คล้ายการลงแป้งในเสื้อผ้าเพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่) ร่างของพระสังข์ จึงเปล่งรังสีประกายทอง(ไม่ใช่ผิวทองคำแบบมนุษย์ทองคําของเส้าหลิน)


หมายเหตุ เราคาดว่าบ่อทองที่นิทานพื้นบ้านต่างๆชอบใช้ชุบตัวนั้น น้ำในบ่อนั้นน่าจะเป็น"น้ำมัน!!!" เพราะน้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ชโลมอาบกายมาตั้งแต่โบราณ บ่อทองจึงน่าจะเป็นน้ำมันทิพย์วิเศษท่เมื่อชโลมกายจะซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังและทำให้ผิวหนังเปล่งประกายจากภายใน

น้ำบ่อทอง คือ น้ำมันพิเศษ
น้ำบ่อเงิน คือ ปรอทพิเศษ

โดยอ้างอิงจากหลักฐานวิชา เรียกน้ำมัน-ปรอทเข้าตัว

อนึ่ง ส่วนประกอบบ่อเงิน-บ่อทองนี้ ต้องเป็นสารสกัดที่เข้มข้นมากๆ เพราะปกติการชุบตัวต้องชุบติดต่อกันโดยไม่ขึ้นจากบ่อเลย ๓ วัน ๗ วันขึ้นไปจึงจะเห็นผลชัดเจน แต่บ่อเงิน-บ่อทองในที่นี้กลับใช้เวลาในการชุบตัวน้อยมาก จึงน่าจะเป็นสารประกอบที่พิเศษมากๆจริงๆ

วิธีการทำงานของชุดพราง4มิตินี้ โดยทั่วไปน่าจะมีลักษณะคล้ายกับ ID mask ที่พวก DNAliensใส่เพื่อพรางตัวในเรื่อง Ben 10 ผสมกับชุดนาโนที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นเครื่องนุ่งห่มรูปแบบต่างๆได้คล้ายชุดนาโนของ Black Panther ซึ่งตามปกติชุดนาโนที่ถูกแยกจนเป็นชิ้นเล็กๆระดับอนุภาค(อณู-สสารขนาดเล็กที่สามารถมองเห็นได้ด้วยแสงสว่างที่ส่องเข้าไปตามว่างในอากาศ)เหล่านี้จะถูกเก็บไว้รวมไว้ในส่วนที่เป็นหน้ากาก จึงทำให้สะดวกต่อการพกพาพอสมควร
ในกรณีหน้ากากของนางแก้วนั้น เมื่อสวมใส่แล้ว บรรดาอณูจะเคลื่อนเเข้าปกคลุมใบหน้าและทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าทั้งหมดที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ให้อยู่ในรูปใบหน้าเดียวเท่านั้น คือใบหน้าที่เรียวยาวคล้ายม้า
ไม่ว่าใครจะใส่ก็จะออกมาหน้าพิมพ์เดียวกันหมด คือ สวมแล้วหน้าจะเหมือนยิ่งกว่าฝาแฝด(แต่เป็นไปได้ว่า เหล่าอณูในหน้ากากก็อาจสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างส่วนให้ผู้สวมใส่ทุกคนดูเหมือนกันหมดทั้งตัวได้ด้วย) หากดูด้วยตาเปล่าก็ไม่อาจแยกได้ว่าที่อยู่ตรงหน้าใช่นางแก้วที่สวมรูปอยู่ตัวจริงรึไม่
ในกรณีหน้ากากรูปเงาะของพระสังข์ทองนั้น ก็คล้ายคลึงกับนางแก้ว แต่ขอเรียกกลุ่มอณูที่อยู่ในหน้ากากนี้ว่า “อณูดำ” ซึ่งเมื่อสวมใส่แล้ว เหล่าอณูดำจะเคลื่อนตัวออกจากหน้ากากเข้าปกคลุมร่างกายทั้งหมดแล้วปรับเปลี่ยนโครงสร้างพร้อมบิดเบือนมิติจนผู้สวมใส่อยู่ในร่างเงาะป่าร่างดำทันที
แม้จะเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่ ก็สามารถสวมใส่ชุดพราง๔มิติให้ตัวเล็กลงได้ เพราะชุดเหล่านี้มีความเป็น๔มิติแบบเดียวกับเครื่องถ่างมิติรูปหอยสังข์ ผอบ ฯลฯ และ DIMENSION SUIT รูปคางคกของนางอุทัยเทวี ดังนั้นเรื่องขนาดและรูปร่างรูปทรงจึงไม่ใช่ปัญหาในการใช้งานแต่อย่างใด

SET 1 ชุด เครื่องถ่างมิติ

“เครื่องถ่างมิติ!!!”ผลิตภัณฑ์ยอดฮิตในวรรณคดีไทยเรื่องต่างๆ ในวรรณคดีไทยเรื่องต่างๆนั้น เครื่องถ่างมิติไม่ได้ใช้ในการเก็บวาร์ปอย่างเดียว แต่สามารถเป็นที่อาศัยได้ด้วย! และแคปซูลเวลาในวรรณคดีไทยมีรูปแบบหลากหลายแตกต่างกันไป ตัวอย่างรูปแบบเครื่องถ่างมิติในวรรณคดีไทย มีดังนี้
๑.เครื่องถ่างมิติในรูปแบบผอบ(ผะ-อบ ไม่ใช่ ผ-อ-บ)ของนางสีดาแห่งรามเกียรติ์ไทย ด้วยรูปทรงพื้นฐานที่ดูล้าสมัยแต่แผงไปด้วยความทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ! สามารถทนแรงกดทับจากการฝังดินได้เป็นอย่างดี(รับประกันอายุการใช้งานยาวนานถึง16ปี โดย นางสีดา/ผู้ใช้)
๒.เครื่องถ่างมิติในรูปแบบเรือนไทยไซส์มินิของโสนน้อยเรือนงาม(สะ-โหน/ ห-น-โ ไม่ใช่ โ-ส-น) ด้วยรูปทรงแบบที่อยู่อาศัย ทำให้ไม่รู้สึกแปลกที่ ภายในกว้างขวาง สะดวกสบาย แถมด้วยเครื่องวงมโหรีครบชุด! พร้อมบรรเลงเพลงขับกล่อมท่านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น พญาโศก มอญร้องไห้ ค้างคาวกินกล้วย มุล่ง เพลงทุบมะพร้าว แร้งกระพือปีก กาจับปากโลง(ฝาโลง) ชักฟืนสามดุ้น ไฟชุม ธรณีกรรแสง และอื่นๆอีกมากมายทั้งหมดทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ(AUTO)!!! สั่งการด้วยระบบเซ็นเซอร์(SENSOR) เพียงเปิดประตูก็จะได้สัมผัสกับเสียงดนตรีอันหลากหลาย(ขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก รับประกัน โดย โสนน้อยเรือนงาม/ผู้ใช้)
๓.เครื่องถ่างมิติในรูปแบบหอยสังข์ ของพระสังข์ จากสังข์ทอง ด้วยรูปทรงแบบอ้างอิงธรรมชาติ และขนาดพอเหมาะทำให้พกพาได้สะดวก ทนทานต่อความร้อนสูงจากการเผาไฟได้(แต่ไม่ทนต่อแรงกระแทก เช่น การทุบอย่างแรง โดย พระสังข์ทอง/ผู้ใช้)
ยัง!ยังไม่หมด!!! หากท่านคิดว่า.แคปซูลเวลาเหล่านี้ไม่สามารถควบคุมจากภายในโดยผู้อยู่อาศัยได้ ท่านคงสนใจผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้!!!!
มันก็คือ ชุด DIMENSION SUIT!!!! ชุดสูทมิติที่4ที่จะทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวก คล่องตัวขึ้น ชุดDIMANSION SUITนี้คือ
ชุดDIMANSION SUITในรูปแบบ คางคก ของพระนางอุทัยเทวี สวมใส่ง่าย สบายตัว อากาศถ่ายเท ใส่ได้ทุกสภาพอากาศ เหมาะสำหรับสุภาพสตรีที่ต้องการความปลอดภัยในชีวิต ด้วยรูปทรงแบบคางคก ท่านจะปลอดภัยจากสัตว์ร้ายนานาชนิด(สวมใส่แล้วประสิทธิภาพในการว่ายน้ำของท่านจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดย พระนางอุทัยเทวี/ผู้ใช้)
หากท่านนึกไม่ออกว่าจะเข้าไปอาศัยในแคปซูลเวลาและDIMANSION SUIT ได้อย่างไร ให้นึกถึงเวลายัดก้อนนุ่นหรือก้อนสำลี ที่ฟูๆใหญ่ๆเข้าไปในกล่องที่มีขนาดเล็กกว่าแล้วมันเข้าได้ดู